เมนู

วรรคที่ 4



อรรถกถาสูตรที่ 1



ประวัติพระอานนทเถระ



วรรคที่ 4 สูตรที่ 1

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า พหุสฺสุตานํ เป็นต้นดังนี้. แม้พระเถระ
รูปอื่น ๆ ที่เป็นพหูสูต มีธิติทรงจำและเป็นอุปัฏฐากก็มีอยู่ ส่วนท่าน
พระอานนท์นี้ เล่าเรียนพระพุทธวจนะ ก็ยึดยืนหยัดอยู่ในปริยัติดุจ
ผู้รักษาเรือนคลัง ในศาสนาของพระทศพล เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
ชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้เป็นพหูสูต. อนึ่ง สติที่เล่าเรียน
พระพุทธวจนะแล้วทรงจำไว้ของพระเถระนี้เท่านั้นก็มีกำลังกว่า
พระเถระรูปอื่น ๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจ่งชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุ
สาวกผู้มีสติทรงจำ. อนึ่ง ท่านพระอานนท์นี้นี่แล ยืนหยัดยึดอยู่
บทเดียวก็ถือเนื้อความได้ถึงหกหมื่นบท จำได้ทุกบทโดยทำนองที่
พระศาสดาตรัสไว้นั่นแล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของ
เหล่าภิกษุสาวกผู้มีคติ. อนึ่ง ความเพียรเล่าเรียน ความเพียรท่องบ่น
ความเพียรทรงจำ และความเพียรอุปัฏฐากพระศาสดา ของท่านพระ-
อานนท์รูปนั้นเท่านั้น ที่ภิกษุอื่นๆ เทียบไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
ชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีธิติ. หนึ่ง ท่านพระอานนท์รูปนี้
เมื่ออุปัฏฐากพระตถาคต ก็ไม่อุปัฏฐากด้วยอาการอุปัฏฐากของเหล่าภิกษุ
ผู้อุปัฏฐากรูปอื่น ๆ ด้วยว่าเหล่าภิกษุผู้อุปัฏฐากรูปอื่น ๆ เมื่ออุปัฏฐาก
พระตถาคต อุปัฏฐากอยู่ไม่ได้นาน ทั้งอุปัฏฐากยึดพระหฤทัยของพระ-

พุทธะทั้งหลายไว้ไม่ได้. ส่วนพระเถระ นับแต่วันที่ได้ตำแหน่งพระ-
อุปัฏฐาก ก็เป็นผู้ปรารภความเพียร อุปัฏฐากยึดพระหฤทัยของพระ-
ตถาคตไว้ได้ เพราะเหตุนี้ ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก
ผู้อุปัฏฐาก. ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้
ได้ยินว่า ในกัปสุดท้ายเจ็ดแสนกัปแต่กัปนี้ไป พระศาสดา
พระนามว่าปทุมุตตระ อุบัติในโลก พระองค์มีพระนครชื่อว่า หงสวดี
มีพระราชบิดาพระนามว่า นันทะ พระราชมารดาผู้เป็นพระเทวี
พระนามว่า สุเมธา มีพระโพธิสัตว์ พระนามว่า อุตตรกุมาร. พระองค์
ออกอภิเนษกรมณ์ทรงผนวชในวันพระราชโอรสประสูติ ทรงประกอบความ
เพียรเนือง ๆ แล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณตามลำดับ
ทรงเปล่งพระพุทธอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ เป็นต้น ประทับ ณ
โพธิบัลลังก์ล่วงเวลาไป 7 วัน ทรงยื่นพระบาทออกด้วยหมายจักทรง
วางไว้ที่แผ่นดิน ครั้งนั้น ดอกปทุมมีขนาดที่กล่าวไว้แล้วแต่หนหลัง
ชำแรกแผ่นดินชูขึ้นรองรับ เพราะหมายถึงดอกปทุมนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงปรากฏพระนามว่า ปทุมุตตระนั่นแล. พระองค์มี
พระอัครสาวก นามว่า เทวิละองค์หนึ่ง จุลชาตะองค์หนึ่ง มีหมู่พระ-
อัครสาวิกา นามว่า อมิตา องค์หนึ่ง อสมา องค์หนึ่ง ทรงมีพระอุปัฏฐาก
นามว่า สุมนะ. พระปทุมุตตรผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงสงเคราะห์
พระพุทธบิดา มีภิกษุแสนรูปเป็นบริวาร ประทับอยู่ ณ กรุงหงสวดี
ราชธานี. ส่วนพระกนิษฐภาดาของพระองค์ พระนามว่า สุมนกุมาร.
พระราชาพระราชทานบ้านส่วยสองพันโยชน์นับแต่กรุงหงสวดีแด่
สุมนราชกุมารนั้น. สุมนราชกุมารนั้นเสด็จมาเฝ้าพระราชบิดาและ
พระศาสดา เป็นครั้งคราว.

ต่อมาวันหนึ่ง ชนบทชายแดนก่อกบฏ สุมนราชกุมาร จึงส่งข่าว
ถวายพระราชา พระราชาทรงให้ตอบไปว่า พ่อตั้งเจ้าไว้ในตำแหน่ง
นั้นเพราะเหตุไร สุมนราชกุมารนั้นปราบกบฏสงบแล้ว ส่งข่าวไป
กราบทูลพระราชาว่า เทวะ ชนบทสงบราบคาบแล้ว พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงยินดีตรัสว่า ลูกพ่อจงรีบมา. สุมนราชกุมารนั้น มีอมาตย์
ประมาณพันคน ทรงปรึกษากับอมาตย์เหล่านั้นในระหว่างทางว่า
พระราชบิดาของเราทรงยินดี ถ้าจะพระราชทานพรแก่เรา เราจัก
รับอะไร. ลำดับนั้น อมาตย์บางพวกทูลพระราชกุมารว่า โปรด
รับช้าง รับม้า รับชนบท รับรตนะ 7 อีกพวกหนึ่งทูลว่า พระองค์
เป็นราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ทรัพย์พระองค์ได้ไม่ยาก แต่ทรัพย์
นั้นแม้ได้แล้ว ก็จำต้องละไปทั้งหมด บุญต่างหากที่พระองค์จะพา
ไปได้ เพราะฉะนั้น เมื่อสมมติเทพพระราชทานพร ขอพระองค์
โปรดรับพร คือการอุปัฏฐากพระปทุมุตตรผู้มีพระภาคเจ้า ตลอด
ไตรมาสเถิดพระเจ้าข้า. พระราชกุมารนั้นรับสั่งว่า พวกท่านเป็น
กัลยาณมิตรของเรา พวกท่านทำจิตคิดอยู่นี้ให้เกิดแก่เรา เรา
จักทำอย่างนั้น แล้วเสด็จไปถวายบังคมพระราชบิดา ถูกพระ-
ราชบิดาสวมกอดจุมพิตที่กระหม่อม แล้วตรัสว่า ลูกเอ๋ย พ่อจะ
ให้พรแก่เจ้าดังนี้ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า กระหม่อม
ฉันปรารถนาจะเป็นผู้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยปัจจัย
4 ตลอดไตรมาส เพื่อทำชีวิตไม่ให้เป็นหมัน พระพุทธบิดาตรัส
ว่า พ่อไม่อาจให้พรข้อนี้แก่ลูกได้ดอก พ่อจะให้พรอย่างอื่น
นะลูก. พระราชกุมารกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ธรรมดาว่ากษัตริย์
ไม่ตรัสคำสองนะ พระเจ้าข้า ขอโปรดพระราชทานพรนี้แก่กระหม่อม-

ฉันเถิด พรอย่างอื่นกระหม่อมฉันไม่ต้องการ พระเจ้าข้า. พระพุทธ-
บิดาตรัสว่า ธรรมดาว่าพระหฤทัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รู้กัน
ได้ยาก หากพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงประสงค์ เมื่อพ่อให้พรเจ้าแล้ว
จักมีอะไร. พระราชกุมารกราบทูลว่า ดีละ เทวะ กระหม่อมฉันจักทราบ
พระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้แล้วเสด็จไปยังพระวิหาร
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี
พระราชกุมารจึงเสด็จไปยังสำนักภิกษุทั้งหลายที่ประชุมกัน ณ ศาลา
ทรงกลม. ภิกษุเหล่านั้นทูลถามพระราชกุมารว่า ถวายพระพร พระ-
ราชบุตร พระองค์เสด็จมาเพราะเหตุอะไร. พระราชกุมารตรัสว่า เพื่อ
จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดชี้บอกพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่ข้าพเจ้า
ทีเถิด เหล่าภิกษุทูลว่า พระราชบุตร พวกอาตมภาพเข้าเฝ้าพระศาสดา
ในเวลาที่มุ่งมาดปรารถนาไม่ได้ดอก ตรัสถามว่า ใครเล่าถึงจะเฝ้าได้
เจ้าข้า. มูลตอบว่า ถวายพระพร พระราชบุตรพระนามว่าสุมนเถระ.
พระราชกุมารตรัสถามถึงที่นั่งของพระเถระว่า พระเถระนั้นอยู่ไหนเล่า
ท่านเจ้าข้า. แล้วเสด็จไปตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้า โปรดชี้บอกพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด เมื่อ
พระราชกุมารกำลังทอดพระเนตรเห็นอยู่นั่นแล พระเถระก็เข้าอาโป-
กสิณฌาน อธิษฐานแผ่นดินใหญ่ให้เป็นน้ำ ดำลงในแผ่นดินไปปรากฏที่
พระคันธกุฎีของพระศาสดา ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระ-
สุมนเถระว่า สุมนะ เหตุไร เธอจึงมา ท่านทูลว่า พระราชบุตรเสด็จมา
ประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้าข้า. ตรัสว่า แน่ะภิกษุ ถ้า
อย่างนั้น เธอจงจัดอาสนะสิ เมื่อพระราชกุมารกำลังทอดพระเนตรเห็น
อยู่นั่นแล พระเถระก็ถือเอาพุทธอาสนะ ดำลงในพระคันธกุฎี ไปปรากฏ

นอกบริเวณ จัดอาสนะไว้ที่บริเวณ พระราชกุมาร ทรงเห็นเหตุน่าอัศจรรย์
ทั้งสองนี้แล้ว ทรงดำริว่า ภิกษุรูปนี้ใหญ่หนอ. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็เสด็จออกจากพระคันธกุฎีแล้วประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดไว้ เมื่อตรัส
ถามว่า ก่อนราชบุตร พระองค์เสด็จมาเมื่อไร พระราชกุมารทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าพระคันธกุฎี แต่ภิกษุทั้งหลาย
บอกว่า ท่านเข้าเฝ้าไม่ได้ในขณะที่มุ่งมาดปรารถนา จึงส่งข้าพระองค์
ไปยังสำนักของพระเถระ ส่วนเพระเถระแสดงด้วยถ้อยคำ ๆ เดียว พระ-
เถระนี้เป็นที่สนิทสนมในพระศาสนาของพระองค์หรือพระเจ้าข้า ตรัสว่า
ใช่แล้ว พระราชกุมาร ภิกษุรูปนี้เป็นที่สนิทสนมในศาสนาของเรา.
ทูลว่า ภิกษุรูปนี้ทำอะไร จึงเป็นที่สนิทสนมในพระศาสนาของพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถวายทาน
รักษาศีล ทำอุโปสถกรรมนะสิ พระราชกุมาร พระราชกุมารที่ว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ประสงค์จะเป็นผู้สนิทสนมใน
พระพุทธศาสนาเหมือนพระเถระ พรุ่งนี้ ขอพระองค์โปรดทรงรับภิกษา
ของข้าพระองค์นะพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับโดยดุษณีภาพ
พระราชกุมารเสด็จไปยังที่ประทับของพระองค์ จัดสักการะอย่างใหญ่
ตลอดคืนยังรุ่ง ได้ถวายขันธวารภัตร (อาหารที่ถวายพระระหว่างตั้ง
ค่ายพักแรม) วันที่ 7 ถวายบังคมพระศาสดาทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้รับพร คือการอุปัฏฐากพระองค์ตลอดไตรมาส
ภายในพรรษา จากสำนักพระราชบิดา ขอพระองค์ทรงโปรดรับอยู่จำ
พรรษาตลอดไตรมาส เพื่อข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงตรวจดูว่าอรรถประโยชน์ด้วยข้อนั้น มีไหมหนอ ก็ทรงเห็น
ว่ามีอยู่ จึงตรัสว่า ดูก่อนราชกุมาร พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมอภิรมย์

ยินดีในเรือนว่างแล พระราชกุมารตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ข้าพระองค์รู้แล้ว ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์รู้แล้ว แล้วทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะล่วงหน้าไปก่อน จะให้เขาสร้างพระวิหาร
เมื่อข้าพระองค์ส่งคนไปทูล ขอพระองค์โปรดเสด็จมาพร้อมด้วยภิกษุ
แสนรูป ทรงถือปฏิญาณแล้วเสด็จไปยังสำนักพระราชบิดา กราบทูลว่า
เทวะ พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทานปฏิญาณแก่กระหม่อมฉันแล้ว เมื่อ
กระหม่อมฉันส่งคนมากราบทูล ขอพระองค์พึงโปรดส่งพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าด้วย พระเจ้าข้า ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วเสด็จออกไป ทรง
สร้างวิหารทุกระยะทางโยชน์หนึ่ง เสด็จไปสิ้นทางไกลสองพันโยชน์
ครั้นเสด็จถึงแล้ว ทรงเลือกที่ตั้งพระวิหารในนครของพระองค์ ทรงเห็น
อุทยานของกุฎุมพี (เศรษฐี) ชื่อ โสภะ ทรงซื้อด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง
สละพระราชทรัพย์แสนหนึ่ง โปรดให้สร้างพระวิหาร ณ พระวิหารนั้น
โปรดให้สร้างพระคันธกุฎีสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า และกุฎีที่เร้นและ
มณฑปเป็นที่พักกลางคืนและกลางวัน สำหรับเหล่าภิกษุนอกนั้น จัด
สร้างกำแพงล้อมและซุ้มประตู แล้วทรงส่งคนไปยังสำนักพระราชบิดา
กราบทูลว่ากิจของกระหม่อมฉันสำเร็จแล้ว ขอได้โปรดส่งพระศาสดา
ไปเถิด พระราชบิดา ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้วทูลว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า กิจของสุมนสำเร็จแล้ว เขาหวังการเสด็จไปของ
พระองค์ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีภิกษุแสนรูปแวดล้อม
ประทับอยู่ ณ วิหารทั้งหลาย ทุกระยะโยชน์หนึ่งได้เสด็จไป พระ-
ราชกุมาร ทรงทราบว่า พระศาสดากำลังเสด็จมา ก็เสด็จออกไป
ต้อนรับสิ้นระยะทางโยชน์หนึ่ง ทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น
ส่งเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ทรงมอบถวายพระวิหารว่า

สตสหสฺเสน เม กีตํ สตสหสฺเสน มาปิตํ
โสภนํ นาม อุยฺยานํ ปฏิคฺคณฺห มหามุนิ
ข้าแต่พระมหามุนี ของพระองค์โปรดทรงรับ
อุทยาน ชื่อ โสภนะ ซึ่งข้าพระองค์ซื้อมาด้วย
ทรัพย์แสนหนึ่ง สร้างวิหารด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง
ด้วยเถิด

พระราชกุมารนั้น ในวันเข้าพรรษา ถวายทานแล้ว เรียกบุตรภริยา
ของตนและเหล่าอมาตย์มาแล้วสั่งว่า พระศาสดาเสด็จมายังสำนักของ
พวกเราเป็นทางไกล ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายของเรา ทรงหนักในธรรม
ไม่เห็นแก่อามิส เพราะฉะนั้น เราจักนุ่งผ้าสองผืนตลอดไตรมาสนี้
สมาทานศีลสิบ อยู่เสียในที่นี่นี้แหละพวกท่านพึงถวายทานตลอดไตรมาส
โดยทำนองนี้แด่พระขีณาสพแสนรูป สุมนราชกุมารนั้น ประทับอยู่
ในฐานะที่ถูกกันกันสถานที่อยู่ของพระสุมนเถระ เห็นกิจกรรมทุกอย่าง
ที่พระเถระกระทำวัตรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ดำริว่า พระเถระนี้เป็น
ที่สนิทสนมในพระตถาคต เราควรปรารถนาตำแหน่งของพระเถระนั้น
เมื่อใกล้วันปวารณาออกพรรษา จึงเสด็จเข้าไปยังหมู่บ้าน ถวายมหาทาน
7 วัน วันที่ครบ 7 วัน ทรงวางไตรจีวรแทบเท้าภิกษุแสนรูป ถวายบังคม
พระศาสดาแล้วหมอบบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ บุญนั้นใดที่ข้าพระองค์กระทำมาตั้งแต่ถวายทานระหว่างที่พัก
กลางทางมา 7 วัน บุญอันนั้น ข้าพระองค์มิได้ประสงค์สวรรคสมบัติ
มิได้ประสงค์พรหมสมบัติ แต่ข้าพระองค์ปรารถนาเป็นอุปัฏฐากของ
พระพุทธเจ้าจึงกระทำ อนึ่งเล่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์
ก็จะเป็นอุปัฏฐากเหมือนพระสุมนเถระในอนาคตกาล พระศาสดาทรง

เห็นไม่มีอันตรายสำหรับพระราชกุมารนั้น จึงทรงพยากรณ์แล้วเสด็จ
กลับไป พระราชกุมารทรงสดับแล้วทรงดำริว่า ก็ธรรมดาพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ไม่ตรัสเป็นคำสอง ในวันที่สอง ก็ได้เป็นเหมือนถือบาตรจีวร
ของพระโคดมพุทธเจ้า ตามเสด็จไปเบื้องพระปฤษฎางค์

พระราชกุมารนั้น ในพุทธุปบาทกาลนั้น ถวายทานแล้วบังเกิด
ในสวรรค์แสนปี ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ได้ถวายผ้าห่ม
เพื่อรองรับบาตรแก่พระเถระผู้เที่ยวไปบิณฑบาต ได้ทำการบูชา
บังเกิดในสวรรค์อีก จุติจากภพนั้น เป็นพระเจ้าพาราณสี เสด็จขึ้นชั้น
บนปราสาทอันประเสริฐ ทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า องค์
ซึ่งมาแต่เขาคันธมาทน์ ให้นิมนต์มาแล้วให้ฉันโปรดให้สร้างบรรณศาลา
8 หลัง สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ในมงคลอุทยานของพระองค์
ทรงตกแต่งตั่งทำด้วยรตนะล้วน เตียงทำด้วยแก้วมณีอย่างละ 8 และ
เชิงรองแก้วมณี ได้ทำการอุปัฏฐากถึงหมื่นปี. เหล่านี้เป็นฐานะที่ปรากฏ
แล้ว ก็ท่านถวายทานอยู่ถึงแสนกัป บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต กับพระ-
โพธิสัตว์ของเรา จุติจากชั้นดุสิตนั้นแล้ว ก็บังเกิดในเรือนของเจ้า-
อมิโตทนศากยะ ลำดับนั้น ท่านเกิดแล้วทำพระญาติทั้งมวลของท่าน
ให้ร่าเริงบันเทิงใจ เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงขนานพระนาม
แก่ท่านว่าอานันทะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกอภิเนษกรมณ์
ตามลำดับ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เสด็จมากรุงกบิลพัศดุ
เป็นการเสด็จครั้งแรก กำลังเสด็จออกจากกรุงกบิลพัศดุนั้น เมื่อเหล่า
พระราชกุมารบรรพชาเพื่อเป็นบริวารของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่าน
ก็ออกบวชในสำนักพระศาสดาพร้อมกับเหล่าเจ้าศากยะมีเจ้าภัททิยะ

เป็นต้น ไม่นานนัก ได้ฟังธรรมกถาของท่านพระปุณณมันตานีบุตร
ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีอุปัฏฐากไม่ประจำถึง
20 ปีในปฐมโพธิกาล บางคราวท่านพระนาคสมาล ถือบาตรจีวรตาม
เสด็จ บางคราว ท่านพระนาคิตะ บางคราว ท่านพระอุปวานะ บางคราว
ท่านพระสุนัขกขัตตะ บางคราว ท่านจนทะ สมณุทเทส บางคราว ท่าน
พระสาคตะ บางคราว ท่านพระราธะ บางคราวท่านพระเมฆิยะ
บรรดาพระอุปัฏฐากไม่ประจำเหล่านั้น ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเดินทางไกลกับพระนาคสมาลเถระ ถึงทางสองแพร่ง พระเถระ
ลงจากทางทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จะไปทางนี้
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านว่า มาเถิดภิกษุ เราจะไปกัน
ทางนี้ พระเถระทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงถือ
ทางพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะไปทางนี้ แล้วเริ่มจะวางบาตรจีวรลง
ที่พื้นดิน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เอามาสิภิกษุ ทรงรับบาตรจีวร
แล้วเสด็จดำเนินไป เมื่อภิกษุรูปนั้นเดินทางไปตามลำพัง พวกโจรก็ชิง
บาตรจีวรและตีศีรษะแตก ท่านคิดว่า บัดนี้ก็มีแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นที่พึ่งของเราได้ ไม่มีผู้อื่นเลย แล้วมายังสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทั้งที่โลหิตไหล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า นี่อะไรกันล่ะภิกษุ
ก็ทูลเรื่องราวถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปลอบว่า อย่าคิดเลย ภิกษุ
เราห้ามเธอ ก็เพราะเหตุอันนั้นนั่นแหละ อนึ่ง ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาค-
เจ้าเสด็จไปยังบ้านชันตุคาม ใกล้ปาจีนวังสมฤคทายวัน กับพระเมฆิย-
เถระ แม้ในที่นั้น พระเมฆิยะเที่ยวบิณฑบาตไปในชันตุคาม พบสวน
มะม่วงน่าเลื่อมใส ริมฝั่งแม่น้ำ ก็ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ขอพระองค์โปรดรับบาตรจีวรของพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะทำ
สมณธรรม ที่ป่ามะม่วงนั้น แม้ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามสามครั้ง
ก็ยังไป ถูกอกุศลวิตกเข้าครอบงำ ก็กลับมาทูลเรื่องราวถวาย พระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านว่า เรากำหนดถึงเหตุของเธออันนี้แหละ
จึงห้าม แล้วเสด็จดำเนินไปยังกรุงสาวัตถีตามลำดับ
ณ กรุงสาวัตถีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์
อันประเสริฐที่เขาจัดไว้บริเวณพระคันธกุฎี อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว
เรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราแก่ลง
ภิกษุบางพวกกล่าวว่า ข้าพระองค์จะไปทางนี้แล้วก็ไปเสียอีกทางหนึ่ง
บางพวกก็วางบาตรจีวรของเราไว้บนพื้นดิน พวกเธอจงช่วยกันเลือก
ภิกษุอุปัฏฐากประจำให้แก่เราเถิด. ภิกษุทั้งหลายเกิดธรรมสังเวช.
ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตร ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เมื่อปรารถนาพระองค์ พระองค์
เดียว จึงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย สิ้นอสงไขยกำไรแสนกัป ผู้มีปัญญา
มาก เช่นข้าพระองค์ ชื่อว่า เป็นอุปัฏฐาก ก็ควรมิใช่หรือ ข้าพระองค์จะ
อุปัฏฐากละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามท่านว่า อย่าเลย สารีบุตร
เราอยู่ทิศใด ทิศนั้นก็ไม่ว่างเลย โอวาทของท่านก็เหมือนโอวาทของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย กิจที่ท่านจะอุปัฏฐากเรา ไม่มีดอก พระอสีติมหา-
สาวก ตั้งต้นแต่ท่านพระโมคคัลลานะ ก็ลุกขึ้นโดยอุบายนั้นเหมือนกัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงห้ามเสียสิ้น. ส่วนพระอานนท์เถระนั่งนิ่งเลย.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ ภิกษุ-
สงฆ์ทลขอตำแหน่งอุปัฏฐากกัน แม้ท่านก็จงทูลขอสิ. ท่านพระอานนท-
เถระ กล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ธรรมดาว่าตำแหน่งที่ทูลขอได้แล้ว เป็น

เช่นไรเล่า พระศาสดาไม่ทรงเห็นกระผมหรือ ถ้าพระศาสดาจักทรง
ชอบพระทัย ก็จักตรัสว่า อานนท์จงอุปัฏฐากเราดังนี้. ลำดับนั้น พระผู้
มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไม่ต้องมีผู้อื่นชวน
ให้อุตสาหะดอก จักรู้ตัวเองแหละแล้วอุปัฏฐากเรา. ต่อนั้น ภิกษุทั้งหลาย
กล่าวว่า ลุกขึ้นสิอานนท์ ทูลขอตำแหน่งอุปัฏฐากกะพระทศพล.
พระเถระลุกขึ้นแล้วทูลขอพร 8 ประการ คือ ส่วนที่ขอห้าม 4
ส่วนที่ขอร้อง 4 พระเถระทูลว่า ชื่อว่าพรส่วนที่ขอห้าม 4 คือ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ประทานจีวรจักไม่
ประทานบิณฑบาต อันประณีตที่พระองค์ทรงได้มาแล้วแก่ข้าพระองค์
จักไม่ประทานให้ข้าพระองค์อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระองค์
จักไม่ทรงพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์ อย่างนี้ ข้าพระองค์จักอุปัฏฐาก
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสถามว่า อานนท์ เธอเห็นโทษอะไรในข้อนี้
จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์จักได้วัตถุประสงค์
เหล่านี้ไซร้ จักมีผู้กล่าวได้ว่า อานนท์บริโภคจีวร บริโภคบิณฑบาต
อันประณีต อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกัน ไปสู่ที่นิมนต์เดียวกันกับพระ-
ทศพล เมื่อได้ลาภนี้จึงอุปัฏฐากพระตถาคต หน้าที่ของผู้อุปัฏฐากอย่างนี้
จะมีอะไร เพราะฉะนั้น ท่านจึงทูลขอพรส่วนที่ขอห้าม 4 ประการ
เหล่านี้ พระเถระทูลว่า พรส่วนที่ขอร้อง 4 คือ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ ถ้าข้า-
พระองค์จะพาคนที่มาแต่รัฐภายนอก ชนบทภายนอก เข้าเฝ้าได้ใน
ขณะที่เขามาแล้ว ขณะใด ข้าพระองค์เกิดความสงสัย ขณะนั้น ข้า-
พระองค์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
ธรรมใดลับหลังข้าพระองค์ จักเสด็จมาตรัสธรรมนั้นแก่ข้าพระองค์

อย่างนี้ ข้าพระองค์จึงจักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสถามว่า
อานนท์ ในข้อนี้ เธอเห็นอานิสงส์อะไร จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เหล่ากุลบุตรผู้มีศรัทธาในโลกนี้ เมื่อไม่ได้โอกาสของพระผู้มีพระภาค-
เจ้า จึงกล่าวกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ท่านอานนท์ พรุ่งนี้ ขอท่านกับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับภิกษาในเรือนของกระผม ถ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้าไม่เสด็จไปในที่นั้น ข้าพระองค์ไม่ได้โอกาสหาคนเข้าเฝ้า
ในขณะที่เขาประสงค์ และบรรเทาความสงสัย พวกเขาก็จักกล่าวได้ว่า
อานนท์ อุปัฏฐากพระทศพลทำไม พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุเคราะห์
ท่าน แม้อย่างนี้ และพวกเขาจักถามข้าพระองค์ลับหลังพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า ท่านอานนท์ คาถานี้ พระสูตรนี้ ชาดกนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดง ณ ที่ไหน ถ้าข้าพระองค์ไม่ได้พรข้อนั้น พวกเขาก็จักกล่าว
ได้ว่า ท่านไม่รู้พระดำรัสแม้เท่านี้ เหตุไร ท่านจึงเที่ยวอยู่ได้ตั้งนาน
ไม่ละพระผู้มีพระภาคเจ้าเลยเหมือนกับเงา ด้วยข้อนั้น ข้าพระองค์
ต้องการจะกล่าวธรรมที่แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงลับหลังอีก เพราะ
ฉะนั้น ท่านจึงทูลขอพรส่วนที่ขอร้อง 4 ประการเหล่านี้ แม้พระผู้มี
พระภาคเจ้าก็ได้ประทานพรแก่ท่าน. ท่านรับพร 8 ประการอย่างนี้
จึงได้เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำ.
ผลแห่งบารมีทั้งหลายทีบำเพ็ญมาตลอดแสนกัป ก็มาถึงท่าน
ผู้ปรารถนาตำแหน่งพุทธอุปัฏฐากประจำนั้นนั่นแล. ตั้งแต่วันที่ได้ตำแหน่ง
พุทธอุปัฏฐากแล้ว ท่านอุปัฏฐากพระทศพล ด้วยกิจทั้งหลาย เป็นต้นอย่างนี้
คือ ด้วยน้ำ 2 อย่าง ด้วยไม้สีฟัน 3 อย่าง ด้วยการนวดพระหัตถ์และ
พระบาท ด้วยการนวดพระปฤษฎางค์ ด้วยการกวาดบริเวณพระคันธกุฎี
คิดว่า พระศาสดาควรได้กิจนี้ ในเวลานี้ แล้วถือประทีปด้ามขนาด

ใหญ่ไว้ ต่อจากเวลาเที่ยงคืนเดินตรวจรอบ ๆ บริเวณพระคันธกุฎี
ราตรีหนึ่ง 9 ครั้ง อนึ่งท่านมีความดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเราจะพึงง่วงนอน
ไซร้ เราก็ไม่อาจขานรับเมื่อพระทศพลตรัสเรียก. เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงไม่ปล่อยประทีปด้ามหลุดจากมือตลอดคืนยังรุ่ง ในข้อนี้ มีวัตถุนิทาน
ดังกล่าวนี้ แต่ภายหลัง พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร
ทรงสรรเสริญท่านพระอานนทเถระ ผู้รักษาเรือนคลังธรรม โดย
ปริยายเป็นอันมาก จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้เป็นพหูสูต มีสติ มีสติ มีธิติ และพุทธ-
อุปัฏฐาก ในพระศาสนานี้ แล.


จบ อรรถกถาสูตรที่ 1

อรรถกถาสูตรที่ 2



ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ



ในสูตรที่ 2 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า มหาปริสานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระอุรุเวลกัสสป
เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริวารมาก จริงอยู่ พระเถระอื่น ๆ
บางกาล ก็มีปริวารมาก บางกาลก็มีปริวารน้อย ส่วนพระเถระนี้กับ
น้องชายทั้งสอง มีปริวารประจำ เป็นสมณะถึงหนึ่งพันรูป บรรดาภิกษุ
ชฎิลสามรูปนั้น เมื่อแต่ละรูปให้บรรพชาครั้งละรูป ก็จะเป็นสมณะ
สองพันรูป เมื่อให้บรรพชาครั้งละสองรูป ก็จะเป็นสมณะสามพันรูป
เพราะฉะนั้น ท่านอุรุเวลกัสสป จึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มี
บริวารมาก. ก็คำว่ากัสสป เป็นโคตรของท่าน. ปรากฏชื่อว่า อุรุเวล-
กัสสป เพราะท่านบวชในอุรุเวลาเสนานิคม. ในปัญหากรรมของท่าน
มีเรื่องจะกล่าวตามลำดับ ดังนี้.
ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ แม้ท่านอุรุเวลกัสสปนี้
ก็ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล ณ กรุงหงสวดี เจริญวัยแล้ว ฟังธรรมกถา
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริษัทมาก คิดว่าแม้เราก็ควร
จะเป็นเช่นภิกษุรูปนี้ในอนาคตกาล จึงถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข 7 วัน ให้ครองไตรจีวร ถวายบังคมพระศาสดา
แล้วได้กระทำความปรารถนา ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่า
ภิกษุสาวกผู้มีบริษัท พระศาสดาทรงเห็นไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์